ประวัติของ เซอร์วิลเลียม ครูกส์ ( Sir William Crookes)
เซอร์ วิลเลียม ครูกส์ ( Sir William Crookes: 1832-1919) เขาเกิดเมื่อปีค.ศ. 1832 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อเขาเรียนจบชั้นสามัญ แล้วเขาก็สอบเข้าเรียนต่อในวิทยาลัย เขาเริ่มสนใจในสาขาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาจึงเลือกเรียนสาขาวิชาเคมี จนสามารถแต่งตำราขึ้นเป็นฉบับแรกในปี ค.ศ. 1851 และเขาได้ค้นพบคุณสมบัติของสารประกอบอินทรีย์เคมีของธาตุเซเลเนียม แต่เขาก็มีความสนใจในวิชา "สเปคโตรสโคปี" มากเช่นกัน จึงหันมา เน้นศึกษาค้นคว้าทางสาขาฟิสิกส์บ้าง ดังนั้นในปี ค.ศ. 1861 เขาจึงนำธาตุเซเลเนียมมาศึกษาด้วยวิธีสเปคโตรสโคปีและพบว่ามีเส้นสีเขียวสวย งาม ปรากฎอยู่บนแถบสเปคตราแต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับธาตุอื่น ๆที่เคยทดลองมาปรากฎว่า ไม่เหมือนกันแสดงว่าธาตุนี้เป็นธาตุชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบ เขาจึงตั้งชื่อให้ว่า"ธัลเลียม"มีความหมายตามภาษากรีกว่า เขียวขจี ต่อมาเขาประดิษฐ์เครื่องชั่งที่ละเอียดขึ้นมา และใส่ไว้ในหลอดสูญญากาศ เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากแรงพยุงของบรรยากาศ สำหรับตรวจสอบน้ำหนักอะตอมของธาตุธัลเลียม แต่เขาไม่สามารถตรวจสอบได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะศึกษาคุณสมบัติของธาตุธัลเลียมในขณะที่อยู่ในหลอดสูญญา กาศด้วยในปี ค.ศ. 1875 เขาจึงประดิษฐ์เรดิิโอมิเตอร์ขึ้น และใส่ไว้ในหลอดสูญญากาศซึ่งเป็นเครื่องมือวัดประจุไฟฟ้า ที่เคลื่อนผ่านอากาศบาง ๆเพื่อศึกษาเรื่องสูญญากาศ และในปีเดียวกันนี้เขาสามารถปรับปรุงหลอดสูญญากาศที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้นได้ เป็นผลสำเร็จ เพื่อใช้ในการศึกษาเรื่อง การแผ่รังสีหลังจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ต่างพากันเรียกหลอดสูญญากาศแบบนี้ว่า "หลอดครู้คส์" และเขายังได้อธิบายเรื่องการแผ่รังสีคาโธดไว้ว่า รังสีมีการเดินทางเป็นเส้นตรงและ มีเงา และการแผ่รังสีมีความแรงพอที่จะหมุนล้อเล็ก ๆ ได้ครูกส์ ได้สร้างชุดการทดลองที่เรียกว่า หลอดปล่อยประจุครูกส์( Crookes tube) ซึ่งประกอบด้วยหลอดแก้วสุญญากาศ ข้างในมีโลหะ 2 แผ่นเรียกว่า " อิเล็กโตรด" ( electrode) ต่อเข้ากับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าด้านหนึ่งความต่างศักย์สูงเป็นขั้วบวกเรียก ว่า"แอโนด"( anode). อีกด้านต่อกับความต่างศักย์ต่ำเป็นขั้วลบเรียกว่า"แคโทด" (cathode) และมีแผ่นกระดาษกั้นกลางระหว่างสองขั้ว เมื่อต่อครบวงจรพบว่าจากเดิมที่ภายในหลอดมืดจะเกิดการเรืองแสงพุ่งจากแคโทด ไปยังแอโนด และเกิดเงากระดาษที่ฉากด้านหลัง. นั่นแสดงให้เห็นว่าลำแสงที่เกิดขึ้นนี้เดินทางเป็นเส้นตรงและไม่สามารถทะลุ ผ่านกระดาษได้. ครูกส์ เรียกลำแสงนี้ว่า "รังสีแคโทด" ( cathode rays ) เมื่อเขาทดลองต่อไป ก็พบว่าเมื่อแผ่ รังสีคาโธดเข้าไปในสนามแม่เหล็ก จะเกิดอนุภาคของประจุไฟฟ้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เรียกประจุนี้ว่า อิเลคตรอน ในปี ค.ศ. 1903 เขาได้ประดิษฐ์สปินทรอริสโคปขึ้นเพื่อใช้ดู ประกายไฟที่เกิดจากการส่องสว่างของสังกะสีซัลไฟด์เมื่อโดนรังสีแอลฟ่าเขา เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1919 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
กฎของเกย์–ลูแซก (Gay-Lussac’s Law)
กฎของเกย์–ลูแซก (Gay-Lussac’s Law)
ประวัติของเกย์-ลูแซก
ชื่อ - โชแซฟ-ลุย เกย์-ลูแซก (Joseph-Loius Gay-Lussac)
เชื้อชาติ - ชาวฝรั่งเศส
มีชีวิตในช่วง - พ.ศ. 2321 - 2393
ผล งานที่สำคัญ - ทดลองวัดปริมาตรแก๊สที่ทำปฏิกิริยาพอดีกัน และปริมาตรของแก๊สที่ได้จากปฏิกิริยา ณ อุณหภูมิและความดันเดียวกัน แล้วสรุปเป็นกฎการรวมปริมาตรของแก๊ส เรียกว่า “กฎของเกย์-ลูแซก”
ใน ปี พ.ศ. 2351 (ค.ศ. 1808) โชแซฟ-ลุย เกย์-ลูแซก นักเคมีชาวฝรั่งเศสได้ศึกษาทดลองวัดปริมาตรของแก๊สที่ทำปฏิกิริยาจนสามารถ สรุปและตั้งเป็น กฎการรวมตัวปริมาตรของแก๊ส หรือเรียกว่า กฎของเกย์-ลูแซก มีข้อความว่า
“เมื่อจำนวนโมลและปริมาตรแก๊สคงที่ ความดันของแก๊สจะแปรผันตามอุณหภูมิเคลวิล” ดังสมการ
- P เป็นความดันของแก๊ส
- T เป็นอุณหภูมิอุณหพลวัต หน่วยเป็นเคลวิน
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=navapitch-narubodee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น