สหรัฐอเมริกามีพื้นที่ขนาด 9.63 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 308 ล้านคน ทำให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 หรือ 4 ของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เป็นประเทศซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายในเชื้อชาติและวัฒนธรรม อันเป็นผลมาจากการอพยพจากหลายประเทศ[7] เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเป็นเศรษฐกิจระดับชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2551 กว่า 14.4 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ (อัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 15 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ)[3]
ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ซึ่งอาจสืบเชื้อสายมาจากชาวเอเชีย ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ประชากรชนพื้นเมืองอเมริกันเหล่านี้ลดจำนวนลงอย่างมากหลังจากการยึดครองอาณานิคมของชาวยุโรป สหรัฐอเมริกาถูกก่อตั้งโดยสิบสามอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งมีทำเลอยู่ตามฝั่งทะเลแอตแลนติก เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 ชาวอเมริกันประกาศอิสรภาพ ซึ่งเป็นการอ้างสิทธิ์ในการกำหนดชะตาของตนเอง และการสร้างสหภาพความร่วมมือขึ้น รัฐซึ่งก่อการจลาจลสามารถเอาชนะราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ในสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอาณานิคมแห่งแรกที่ประกาศอิสรภาพได้สำเร็จ[8] อนุสัญญาฟิลาเดลเฟียได้ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาฉบับปัจจุบัน เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2330 การปรับใช้อนุสัญญาดังกล่าวมีผลให้รัฐต่าง ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเดี่ยว และขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางที่มีอำนาจเด็ดขาด
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาได้ดินแดนเพิ่มเติมจากฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และรัสเซีย และผนวกดินแดนรวมกับสาธารณรัฐเท็กซัสและสาธารณรัฐฮาวาย ความขัดแย้งระหว่างรัฐกสิกรรมทางตอนใต้และรัฐอุตสาหกรรมทางตอนเหนือ เหนือสิทธิของรัฐ และการขยายจำนวนของทาสได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา เมื่อราวคริสต์ทศวรรษ 1860 ชัยชนะของฝ่ายเหนือได้ป้องกันการแบ่งแยกประเทศอย่างถาวร และยุติการค้าทาสตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ในราวคริสต์ทศวรรษ 1870 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกานับว่าใหญ่ที่สุดในโลก[9] และสงครามสเปน-อเมริกันและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้เน้นย้ำถึงสถานภาพทางทหารของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นประเทศแรกซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังจากการสิ้นสุดของสงครามเย็นและการยุบสหภาพโซเวียต ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยว ของโลก สหรัฐอเมริกามีรายจ่ายทางทหารคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของรายจ่ายทางทหารทั่วโลก และเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของโลก[10]
เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้] ชื่อเรียก
ในปี พ.ศ. 2050 นักเขียนแผนที่ชาวเยอรมัน มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ได้ผลิตแผนที่โลกซึ่งเขาได้ตั้งชื่อดินแดนทางซีกโลกตะวันตกในแผนที่ดังกล่าว ว่า "อเมริกา" ตามชื่อของนักสำรวจและนักเขียนแผนที่ชาวอิตาเลียน อเมริโก เวสปุชชี[11] แต่เดิม อดีตอาณานิคมอังกฤษได้ใช้ชื่อเรียกสมัยใหม่ของประเทศในคำประกาศอิสรภาพ ("การประกาศอิสรภาพของสิบสามสหรัฐอเมริกาด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน") ประกาศใช้โดย "คณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา" เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319[12] ส่วนชื่อในปัจจุบันได้รับการสรุปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2320 เมื่อสภานิติบัญญัติภาคพื้นทวีปที่สองได้ประกาศใช้ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐ ความว่า "สมาพันธรัฐซึ่งถูกตั้งขึ้นนี้ จะถูกเรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ถ้อยคำมาตรฐานสั้น ๆ ซึ่งใช้เรียกสหรัฐอเมริกา คือ สหรัฐ (United States) และชื่อเรียกอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ the U.S., the USA และ America คำว่า Columbia ก็เคยเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมในการเรียกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากชื่อของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และยังปรากฏในชื่อ "District of Columbia" อีกด้วยสำหรับการเรียกสหรัฐอเมริกาของคนไทย ในอดีต เคยเรียกชื่อสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา"[13] ส่วนชื่ออื่นที่ใช้เรียกสหรัฐอเมริกา เช่น มะกัน ลุงแซม อินทรี พญาอินทรี หรือ เจ้าโลก
[แก้] ภาษาศาสตร์
ในภาษาอังกฤษ คำมาตรฐานซึ่งหมายถึงพลเมืองของสหรัฐอเมริกา คือ อเมริกัน (American) ถึงแม้ว่า United States จะเป็นคำคุณศัพท์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งคำว่า American และ U.S. เป็นคำคุณศัพท์อันเป็นที่นิยมมากกว่า ในการระบุถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ อเมริกัน ยังอาจหมายถึง ทวีปอเมริกา อีกด้วย แต่มักจะถูกใช้น้อยมากในภาษาอังกฤษ เพื่อหมายความถึงประชากรซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา[14]เดิม วลี "สหรัฐอเมริกา" ถือว่าเป็นคำพหูพจน์ (ใช้กับคำกริยา are, were, ...) — รวมทั้งในการแปรบัญญัติครั้งที่ 13 ต่อรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลในปี พ.ศ. 2408 อีกด้วย แต่คำดังกล่าวได้กลายมาเป็นคำเอกพจน์ (ใช้กับคำกริยา is, was, ...) — หลังจากยุคสงครามกลางเมือง และได้กลายมาเป็นรูปแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่รูปแบบพหูพจน์ก็ยังคงปรากฏในสำนวน "these United States"[15]
[แก้] ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม
ขนาดพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่คิดเป็นอย่างน้อย 1.9 พันล้านเอเคอร์ แคนาดาอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกากับสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ เป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คิดเป็นพื้นที่กว่า 365 ล้านเอเคอร์ รัฐฮาวาย ซึ่งประกอบด้วยหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่เล็กที่สุด คือ 4 ล้านเอเคอร์[16] สหรัฐอเมริกามีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก รองจากรัสเซียและแคนาดา ก่อนหรือเป็นรองจีน - การจัดลำดับดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าดินแดนพิพาทระหว่างจีนและอินเดียจะถูกนับ รวมด้วยหรือไม่ และวิธีการคำนวณหาพื้นที่ทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร: ซึ่งหนังสือ The World Factbook โดยหน่วยสืบสวนราชการลับกลางสหรัฐอเมริกา ระบุว่า สหรัฐอเมริกมีพื้นที่ 9,826,676 (กิโลเมตร)²[1] กองสถิติแห่งสหประชาชาติ ระบุไว้ที่ 9,629,091 (กิโลเมตร)²[17] และ Encyclopædia Britannica ระบุไว้ที่ 9,522,055 (กิโลเมตร)²[18] แต่ถ้าหากนับรวมเฉพาะพื้นที่บนบกแล้ว สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากรัสเซียและจีน และอันดับที่ 4 คือ แคนาดา[19]ที่ราบชายฝั่งแอตแลนติกเป็นที่ตั้งของป่าไม้ไม่ผลัดใบเข้าไปในทวีป และเทือกเขาเปียดมอนท์ เทือกเขาอัปปาเลเชียนแบ่งแยกชายฝั่งตะวันออกจากเกรตเลกส์และทุ่งหญ้ามิดเวสต์ แม่น้ำมิสซิสซิปปี-มิสซูรี เป็นระบบแม่น้ำที่มีความยาวเป็นอันดับสี่ของโลก ไหลจากตอนเหนือลงไปสู่ตอนใต้และผ่านใจกลางของประเทศ ทุ่งหญ้าแพร์รีอันอุดมสมบูรณ์กินอาณาเขตไปทางตะวันตกจนถึงเขตที่ราบสูงทาง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ เทือกเขาร็อกกีวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ของประเทศ มีความสูง ณ จุดยอดถึง 4,300 เมตรในรัฐโคโลราโด ถัดออกไปทางตะวันตกเป็นเกรตเบซิน ซึ่งเป็นหินและทะเลทราย อย่างเช่น ทะเลทรายโมฮาวี ทิวเขาเซียร์ราเนวาดาและทิวเขาคัสเขดมีความยาวจนเกือบถึงฝั่งทะเลแปซิฟิก ยอดเขาแมกคินลีย์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศและในทวีปอเมริกาเหนือ ด้วยความสูง 6,194 เมตร ตามหมู่เกาะอเล็กซานเดอร์และหมู่เกาะอลูเตียนในรัฐอะแลสกายังมีภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่โดยทั่วไป รวมทั้งหมู่เกาะภูเขาไฟในรัฐฮาวายอีกด้วย
สหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่ และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ ทางตะวันออกของเส้นเมอร์ริเดียนที่ 100 ประเภทภูมิอากาศมีตั้งแต่อบอุ่นชื้นภาคพื้นทวีปทางตอนเหนือ ไปจนถึงอบอุ่นชื้นทางตอนใต้ ปลายด้านใต้สุดของรัฐฟลอริดามีลักษณะภูมิอากาศแบบเขตร้อน เช่นเดียวกับรัฐฮาวาย เกรดเพลน ทางตะวันตกของเส้นเมอร์รีเดียนที่ 100 มีลักษณะกึ่งแห้งแล้ง พื้นที่ภูเขาทางตะวันตกส่วนใหญ่มีภูมิอากาศแบบที่สูง แห้งแล้งในเกรตเบซิน ทะเลทรายในทางตะวันตกเฉียงใต้ ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามฝั่งทะเลแคลิฟอร์เนีย และภูมิอากาศแบบมหาสมุทรในรัฐออริกอน รัฐวอชิงตันและรัฐอะแลสกาตอนใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐอะแลสกามีภูมิอากาศแบบกึ่งขั้วโลกหรือขั้วโลก รัฐที่อยู่ติดกับอ่าวเม็กซิโกมักจะมีสภาพอากาศแบบสุดขั้ว โดยมีเฮอร์ริเคนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และสหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศซึ่งเกิดทอร์นาโดบ่อยครั้งที่สุดในโลก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งได้ชื่อว่า ตรอกทอร์นาโด ในมิดเวสต์[20]
ระบบนิเวศของสหรัฐอเมริกาถูกพิจารณาว่ามีลักษณะแตกต่างกันอย่างมาก โดยมีพืชมีท่อลำเลียงกว่า 17,000 สปีซีส์ในสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่และรัฐอะแลสกา และพืชดอกอีกกว่า 1,800 สปีซีส์ถูกพบในรัฐฮาวาย แต่ถูกพบน้อยในแผ่นดินใหญ่[21] สหรัฐอเมริกายังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกกว่า 400 ชนิด นก 750 ชนิด สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกกว่า 500 ชนิด[22] แมลงราว 91,000 สปีซีส์ได้ถูกค้นพบ[23] ในสหรัฐอเมริกามีอุทยานแห่งชาติ 58 แห่ง และอุทยาน ป่าไม้และเขตอนุรักษ์สัตว์ป่า ภายใต้การดูแลสหพันธรัฐอื่นอีกมากกว่า 100 แห่ง[24] ทั้งหมดนี้ รัฐบาลครอบครองพื้นที่ราวร้อยละ 28.8 ของพื้นที่ทั้งประเทศ[25] ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครอง ถึงแม้ว่าบางส่วนจะให้เช่าในสัมปทานการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การทำเหมือง การตัดไม้ และที่ปศุสัตว์ และอีกร้อยละ 2.4 ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร[25]
[แก้] ประวัติศาสตร์
- ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
[แก้] ชนพื้นเมืองอเมริกันและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป
ในปี ค.ศ. 1492 นักสำรวจชาวเจนัว คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ภายใต้สัญญากับกษัตริย์สเปน ได้เดินทางถึงหมู่เกาะแคริบเบียน และได้ติดต่อกับชนพื้นเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1513 กองกีสตาดอร์ชาวสเปน ควน ปอนเซ เด เลออง ได้ขึ้นฝั่งในบริเวณซึ่งเขาเรียกว่า "ลา ฟลอริดา" – นับเป็นการขึ้นฝั่งบริเวณที่เป็นสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันของชาว ยุโรปเป็นครั้งแรกซึ่งได้รับการบันทึกไว้ ก่อนจะมีการถิ่นฐานสเปนในพื้นที่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ สหรัฐอเมริกาไปจนถึงเม็กซิโก พ่อค้าขนสัตว์ชาวฝรั่งเศสได้ก่อตั้งด่านหน้าของนิวฟรานซ์ขึ้น รอบเกรตเลกส์ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือไปจน ถึงอ่าวเม็กซิโกในที่สุด การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษแห่งแรก คือ อาณานิคมเวอร์จิเนีย ในเจมส์ทาวน์ ในปี ค.ศ. 1607 และอาณานิคมพลิมัธของพวกพิลกริม ในปี ค.ศ. 1620 และในปี ค.ศ. 1628 สัญญาเช่าอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตส์ ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก; ในปี ค.ศ. 1634 นิวอิงแลนด์มีกลุ่มเพียวริตันอาศัย อยู่ 10,000 คน ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1610 จนถึงการปฏิวัติอเมริกา มีนักโทษราว 50,000 คนถูกส่งตัวมายังอาณานิคมอังกฤษในทวีปอเมริกา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1614 ชาวดัตช์ได้ตั้งถิ่นฐานตามแนวแม่น้ำฮัดสัน รวมทั้งนิวอัมสเตอร์ดัมบนเกาะแมนฮัตตัน
ในปี ค.ศ. 1674 อาณานิคมชาวดัตช์ได้ถูกผนวกรวมกับอังกฤษ จังหวัดนิวเนเธอร์แลนด์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนิวยอร์ก ผู้อพยพใหม่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางตอนใต้ เป็นคนรับใช้ซึ่งถูกผูกมัดด้วยสัญญา – คิดเป็นผู้อพยพสู่เวอร์จิเนียจำนวนกว่าสองในสามระหว่างปี ค.ศ. 1630-1680 และปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทาสชาวแอฟริกันได้กลายมาเป็นแหล่งหลักสำหรับแรงงานที่ถูกผูกมัด และในปี ค.ศ. 1729 หลังจากการแบ่งแคลิฟอร์เนียและการตั้งอาณานิคมในจอร์เจีย ในปี ค.ศ. 1732 อาณานิคมอังกฤษสิบสามแห่ง ซึ่งจะกลายมาเป็นสหรัฐอเมริกาในภายหลัง ได้ถูกจัดตั้งขึ้น แต่ละรัฐมีรัฐบาลท้องถื่นซึ่งเปิดให้มีการเลือกตั้งแก่ชายผู้เป็นเสรีชนส่วน ใหญ่ ด้วยการเพิ่มขึ้นของสิทธิโบราณของชาวอังกฤษและความสำนึกในการปกครองตน เองกระตุ้นการสนับสนุนสำหรับกลุ่มสาธารณรัฐนิยม ซึ่งทั้งหมดได้ทำให้การค้าทาสแอฟริกันถูกต้องตามกฎหมาย และด้วยอัตราการเกิดสูง อัตราการตายต่ำ และอัตราการอพยพคงที่ ทำให้ประชากรในอาณานิคมเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ขบวนการฟื้นฟูคริสเตียนในราวคริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 เป็นที่รู้จักกันว่า การตื่นตัวครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความสนใจในเสรีภาพทางศาสนาและลัทธิ ในสงครามฝรั่งเศสและอินเดียน กองทัพอังกฤษยึดแคนาดามาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรผู้พูดภาษาฝรั่งเศสยังคงถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทาง ใต้ หากไม่นับกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันผลัดถิ่น ในอาณานิคมทั้งสิบสามของอังกฤษมีจำนวนประชากรถึง 2.6 ล้านคนในปี ค.ศ. 1770 เป็นชาวอังกฤษจำนวนหนึ่งในสาม และหนึ่งในห้าเป็นทาสผิวดำ แต่ถึงแม้ว่าจะถูกบังคับให้จ่ายภาษีแก่อังกฤษ อาณานิคมอเมริกันกลับไม่มีผู้แทนในรัฐสภาบริเตนใหญ่เลย
[แก้] การประกาศเอกราชและการขยายอาณาเขต
ภายหลังจากความพ่ายแพ้ของอังกฤษ โดยกองทัพอเมริกันซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส บริเตนใหญ่จึงรับรองอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา และอธิปไตยของรัฐเหนือดินแดนอเมริกันไปทางตะวนตกจนถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี การประชุมร่างรัฐธรรมนูญถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1787 โดยกลุ่มผู้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลของชาติที่มีความเข้มแข็ง และมีอำนาจในการเก็บภาษี รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาได้ รับการรับรองในปี ค.ศ. 1788 เช่นเดียวกับสภาสูง สภาผู้แทนราษฎร และประธานาธิบดี — จอร์จ วอชิงตัน — เข้าดำรงตำแหน่งในปี ค.ศ. 1789 บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง ห้ามการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลโดยรัฐบาล และรับประกันขอบเขตในการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1791
ทัศนคติซึ่งมีต่อทาสเองก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน; วรรคในรัฐธรรมนูญได้คุ้มครองการค้าทาสแอฟริกันเพียงกลุ่มเดียวจนถึงปี ค.ศ. 1808 รัฐทางตอนเหนือได้ประกาศเลิกทาสระหว่าง ค.ศ. 1780-1804 เหลือเพียงแต่รัฐทาสทางตอนใต้ ซึ่งเป็นผู้ปกป้อง "สถาบันพิเศษ" ยุคการตื่นตัวครั้งที่สอง เริ่มต้นขึ้นเมื่อราวคริสต์ทศวรรษ 1800 ทำให้การเผยแพร่คำสั่งสอนของพระเยซู กลายเป็นกำลังเบื้องหลังกลุ่มเคลื่อนไหวปฏิรูปสังคมหลายกลุ่ม รวมทั้งการเลิกทาส
ความกระตือรือร้นของสหรัฐอเมริกาในการขยายตัวไปทางทิศตะวันตกทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับสงครามอเมริกันอินเดียนอันยาวนาน การซื้อหลุยส์เซียนาจากดินแดนซึ่งฝรั่งเศสกล่าวอ้าง ในสมัยของประธานธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน ในปี ค.ศ. 1803 ทำให้พื้นที่ของประเทศเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า สงครามปี 1812 ซึ่งเป็นการสู้รบกับอังกฤษเหนือข้อเจ็บใจหลายประกาศ และเพื่อสร้างและส่งเสริมชาตินิยมในสหรัฐอเมริกา การส่งทหารเข้าบุกรุกฟลอริดาหลายครั้งทำให้สเปนยินยอมจะยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนอื่นของชายฝั่งอ่าวในปี ค.ศ. 1819 เส้นทางธารน้ำตาเป็นตัวอย่างของนโยบายย้ายถิ่นฐานชาวอินเดียน ซึ่งทำให้ชนพื้นเมืองจำนวนมากต้องละทิ้งดินแดนของตน สหรัฐอเมริกาผนวกสาธารณรัฐเท็กซัส ในปี ค.ศ. 1845 แนวคิดของเทพลิขิตได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าว สนธิสัญญาโอเรกอน ในปี ค.ศ. 1846 กับอังกฤษ ทำให้สหรัฐอเมริกาครอบครองดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือในปัจจุบัน ชัยชนะของสหรัฐอเมริกาในสงครามเม็กซิโก-อเมริกา นำไปสู่การผนวกดินแดนแคลิฟอร์เนีย และพื้นที่ส่วนใหญ่ทาสภาคตะวันตกเฉียงใต้ ยุคตื่นทองแคลิฟอร์เนีย เมื่อราว ค.ศ. 1848-1849 ยิ่งทำให้มีประชากรจำนวนมากอพยพไปทางทิศตะวันตกมากยิ่งขึ้น ทางรถไฟใหม่ทำให้การย้ายถิ่นฐานของผู้ตั้งถิ่นฐานง่ายขึ้นและยิ่งส่งผลให้ เกิดความขัดแย้งกับชนพื้นเมืองอเมริกัน ภายในเวลาครึ่งศตวรรษ มีไบซันอเมริกันถูก ฆ่ากว่า 40 ล้านตัว เพื่อใช้เนื้อและหนัง และเพื่อทำให้การแพร่ขยายของระบบทางรถไฟไกลยิ่งขึ้น การสูญเสียกระบือ อันเป็นแหล่งทรัพยากรหลักสำหรับชาวอินเดียนที่ราบ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการคงอยู่ของวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองหลายอย่าง
[แก้] สงครามกลางเมืองและการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ภายหลังสงคราม การลอบสังหารลินคอร์น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรากฐานของนโยบายบูรณะประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะรวมและบูรณะรัฐทางตอนใต้ ในขณะที่รับประกันสิทธิของทาสซึ่งได้รับอิสรภาพ ผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 1876 ซึ่งเป็นที่โต้แย้ง โดยการประนีประนอมเมื่อปี ค.ศ. 1877 ทำให้สิ้นสุดสมัยบูรณะ; แต่กฎหมายจิมครอว์ได้ ตัดสิทธิ์การเลือกตั้งของแอฟริกันอเมริกันจำนวนมาก ทางตอนเหนือ การทำให้เป็นเมืองและการหลั่งไหลเข้ามาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของผู้อพยพซึ่งมาจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออก เป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศ การอพยพยังคงมีต่อไปจนถึง ค.ศ. 1929 ทำให้สหรัฐอเมริกามีแรงงานและเปลี่ยนโฉมหน้าวัฒนธรรมของประเทศไปด้วย การพัฒนาสาธารณูปโภคของชาติเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การซื้ออะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซีย เป็นการบรรลุการขยายดินแดนของประเทศบนแผ่นดินใหญ่ การสังหารหมู่วูนเดดนี ในปี ค.ศ. 1890 เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งสุดท้ายในสงครามอินเดียน ในปี ค.ศ. 1893 ราชวงศ์ชนพื้นเมืองของอาณาจักรฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก ถูกโค่นล้มในรัฐประหารซึ่งนำโดยผู้อยู่อาศัยชาวอเมริกัน; สหรัฐอเมริกาผนวกหมู่เกาะดังกล่าวในปี ค.ศ. 1898 ชัยชนะในสงครามสเปน-อเมริกา เมื่อปีเดียวกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศซึ่งมีอำนาจ และนำไปสู่การผนวกเปอร์โตริโก, กวม และฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชในอีกครึ่งศตวรรษต่อมา; เปอร์โตริโกและกวมยังคงเป็นเขตปกครองพิเศษของสหรัฐอเมริกา
[แก้] สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ ขึ้นในปี ค.ศ. 1914 สหรัฐอเมริกาได้ธำรงตนเป็นกลางระหว่างสงคราม ชาวอเมริกันจำนวนมากมีใจเข้าข้างอังกฤษและฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะคัดค้านการเข้าแทรกแซงก็ตาม ในปี ค.ศ. 1917 สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ซึ่งมีผลทำให้ฝ่ายมหาอำนาจกลางตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในสงคราม หลังสงครามยุติ รัฐสภาไม่ยอมรับสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งก่อตั้งสันนิบาติชาติ ต่อมา สหรัฐอเมริกายังคงดำเนินตามนโยบายเอกภาพนิยม จนเกือบจะเป็นลัทธิแยกอยู่โดดเดี่ยว[แก้] การเมืองการปกครอง รัฐบาลและการเลือกตั้ง
มีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federal Republic) แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ละฝ่ายได้รับเลือกในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป จึงมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (checks and balances) ประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน (Republican) และพรรคเดโมแครต (Democrat) ดังนี้ฝ่ายบริหาร มีประธานาธิบดี (President) เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief of Executive) ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี (Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป
ฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย 2 สภา คือ
- วุฒิสภา มีสมาชิกจากแต่ละรัฐ รัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 6 ปี โดยสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ครบวาระทุก 2 ปี วุฒิสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อบุคคลที่ประธานาธิบดีเสนอขอแต่งตั้ง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และให้สัตยาบันสนธิสัญญา รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (President of the Senate)
- สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 435 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในรัฐ คือ ประชากร 575,000 คน ต่อ สมาชิก 1 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 2 ปี ประธานสภา (Speaker of the House)
สิทธิในการเลือกตั้ง : อายุ 18 ปีขึ้นไป
[แก้] การแบ่งเขตรัฐกิจ
สหรัฐอเมริกาปัจจุบันประกอบด้วย รัฐ 50 รัฐ ดังต่อไปนี้รายชื่อรัฐในสหรัฐอเมริกา เรียงตามลำดับการก่อตั้ง
นอกจากนี้ยังประกอบด้วยดินแดนอื่น ๆ ได้แก่ ดินแดน ดิสตริกต์ออฟโคลัมเบีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของประเทศ และดินแดนโพ้นทะเลอื่น ๆ ที่สำคัญได้แก่ อเมริกันซามัว กวม จอห์นสตันอะทอลล์ หมู่เกาะมิดเวย์ หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งดินแดนคือเขตคลองปานามาที่สหรัฐอเมริกาเช่าไว้จากปานามา
[แก้] ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร
[แก้] เศรษฐกิจ
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาได้ทดลองกันบ่อยๆและยังเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่ม G8[แก้] ลักษณะประชากร
[แก้] เมืองขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
- ดูรายชื่อทั้งหมดที่ รายชื่อเมืองในสหรัฐอเมริกาเรียงตามจำนวนประชากร
อันดับ | เมือง | รัฐ | ประชากร (ข้อมูล กรกฎาคม 2549[26]) |
---|---|---|---|
1 | นิวยอร์กซิตี | รัฐนิวยอร์ก | 8,214,426 |
2 | ลอสแอนเจลิส | รัฐแคลิฟอร์เนีย | 3,849,378 |
3 | ชิคาโก | รัฐอิลลินอยส์ | 2,873,321 |
4 | ฮูสตัน | รัฐเทกซัส | 2,144,491 |
5 | ฟินิกซ์ | รัฐแอริโซนา | 1,512,986 |
6 | ฟิลาเดลเฟีย | รัฐเพนซิลเวเนีย | 1,448,394 |
7 | ซานอันโตนีโอ | รัฐเทกซัส | 1,296,682 |
8 | ซานดีเอโก | รัฐแคลิฟอร์เนีย | 1,256,951 |
9 | ดัลลัส | รัฐเทกซัส | 1,232,940 |
10 | ซานโฮเซ | รัฐแคลิฟอร์เนีย | 929,936 |
11 | ดีทรอยต์ | รัฐมิชิแกน | 871,121 |
12 | แจ็กสันวิลล์ | รัฐฟลอริดา | 794,555 |
13 | อินเดียแนโพลิส | รัฐอินดีแอนา | 785,597 |
14 | ซานฟรานซิสโก | รัฐแคลิฟอร์เนีย | 744,041 |
15 | โคลัมบัส | รัฐโอไฮโอ | 733,203 |
[แก้] เชื้อชาติ
ตามข้อมูลของ CIA World Fact ปี พ.ศ. 2548 ประชากรของสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย- คนผิวขาว รวมถึง คนเม็กซิกัน 81.7% หรือ 241 ล้านคน
- คนผิวดำ หรือ แอฟริกันอเมริกัน 12.9% หรือ 36.4 ล้านคน
- คนอเมริกันเอเชีย 4.2% หรือ 11.9 ล้านคน
- ชาวอินเดียนแดง 1.4% หรือ 4.1 ล้านคน
- ชาวฮาวาย 0.2%
[แก้] ภาษา
สหรัฐอเมริกาไม่มีการกำหนดภาษาทางการ แต่ในทางปฏิบัติภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ใช้กันมากที่สุดในประเทศ ในบางรัฐได้มีการกำหนดภาษาทางการของรัฐ นอกจากนี้ภาษาที่มีใช้กันมากในสหรัฐอเมริกามากกว่าหนึ่งล้านคน ได้แก่ ภาษาสเปน ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเวียดนาม และ ภาษาเยอรมัน...[แก้] ศาสนา
ในสหรัฐอเมริกาไม่มีการกำหนดศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามจากการสำรวจเรื่องศาสนามีประมาณ 76.7% ของชาวอเมริกันนับถือศาสนาคริสต์ (52% นิกายโปรแตสแตนต์ 24.5% นิกายโรมันคาทอลิก และนิกายอื่นอีก 0.2%) โดยที่เหลือ เป็นชาวอเมริกันนับถือศาสนาอื่น หรือไม่นับถือศาสนาใดเลย[แก้] การศึกษา
ระบบการศึกษาในสหรัฐอเมริกาควบคุมโดยแต่ละรัฐแยกจากกัน เด็กทุกคนจะถูกให้เรียนจบในระดับไฮสคูล และจบในระดับชั้นเกรด 12 หรือเทียบเท่า โดยผู้ปกครองสามารถเลือกให้ลูกเรียนที่โรงเรียนรัฐบาล หรือโรงเรียนเอกชน นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครองบางกลุ่ม ที่สอนให้ลูกเรียนด้วยตนเองที่บ้านหรือในชุมชนซึ่งเรียกลักษณะนี้ว่าโฮมสกูล ภายหลังจากจบการศึกษา นักเรียนสามารถเลือกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในมหาวิทยาลัยรัฐหรือมหาวิทยาลัยเอกชน โดยนักเรียนสามารถกู้เงินจากทางธนาคารหรือหน่วยงานราชการสำหรับจ่ายเป็นค่า เล่าเรียนในระดับนี้ และจ่ายคืนภายหลังจบการศึกษา มหาวิทยาลัยเอกชนส่วนใหญ่ค่าเรียนจะแพงกว่ามหาวิทยาลัยรัฐ ในขณะที่คุณภาพของมหาวิทยาลัยบางแห่งเทียบเท่า ดีกว่า หรือด้อยกว่ามหาวิทยาลัยรัฐ นอกจากนี้นักเรียนสามารถเลือกเรียนในวิทยาลัยชุมชนที่ ค่าเรียนถูกกว่าทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนในช่วง 2 ปีแรก และโอนหน่วยกิตไปเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอื่นในช่วงต่อมาได้ มหาวิทยาลัยที่สำคัญในสหรัฐอเมริกาเช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ และ มหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นต้นสหรัฐอเมริกามีอัตราการอ่านออกเขียนได้ค่อนข้างสูง โดยมีค่า 86-98% ของประชากรที่อายุมากกว่า 15 ปี
[แก้] วัฒนธรรม
[แก้] อาหาร
เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้อพยพเข้ามาอยู่ตลอดเวลา อาหารในประเทศจึงมีความหลากหลาย โดยอาหารพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกา หรืออาหารชาวอินเดียนแดง คืออาหารที่มีส่วนประกอบของ ไก่งวง มันสำปะหลัง ข้าวโพด และฟักทอง โดยในปัจจุบันจากการอพยพจากประชากรจากฝั่งยุโรปเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในส่วนของอาหารอเมริกัน ซึ่งได้แก่อาหารหลายประเภท เช่น พายแอปเปิล พิซซา ชาวเดอร์ พาสตา แฮมเบอร์เกอร์ ฮอตด็อก แซนด์วิช และนอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่อพยพมาจากทางประเทศเม็กซิโก ซึ่งอาหารประเภท เบอร์ริโต และ ทาโก ได้เป็นอาหารหลักในสหรัฐอเมริกานอกจากนี้อาหารชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็น ซูชิของญี่ปุ่น หรือติ่มซำของจีน รวมไปถึงอาหารไทยเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
[แก้] ดนตรี
ดนตรีในสหรัฐอเมริกา เกิดจากการผสมผสานของดนตรีหลายเชื้อชาติเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นดนตรีแนวใหม่รายประเภท เช่น ร็อกแอนด์โรลล์ ฮิปฮอป คันทรี บลูส์ Drum & Bugle Corps (วงโยธวาทิต) และแจ๊ส และในช่วงล่าสุด ดนตรีของสหรัฐอเมริกาได้เริ่มเป็นที่นิยมในหลายที่ทั่วโลก นอกจากนี้การเต้นรำ ได้มีกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกันเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การเต้นแท็ป[แก้] กีฬา
ในสหรัฐอเมริกา กีฬาเป็นการละเล่นที่นิยมเล่นกันมากตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย และระดับอาชีพ และเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศ กีฬาที่นิยมมากที่สุดในสหรัฐทั้ง 4 อย่างคือ อเมริกันฟุตบอล บาสเกตบอล เบสบอล และ ไอซ์ฮอกกี กีฬาอื่นที่นิยมรองลงมาได้แก่ การแข่งรถ (นาสคาร์) ลาครอสส์ มวยปล้ำ และ ฟุตบอลที่เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่เด็กชาวอเมริกัน ถึงแม้ว่าฟุตบอลจะมีการแข่งขันอาชีพในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าการแข่งขันอื่นเช่นใน เอ็นเอฟแอลของอเมริกันฟุตบอล เอ็นบีเอของบาสเกตบอล หรือ เมเจอร์ลีกเบสบอล นอกจากนี้กีฬาที่ได้รับความนิยมในหมู่บุคคลเฉพาะเช่น สเก็ตบอร์ด สกี สโนว์บอร์ด และ เซิร์ฟบอร์ด เริ่มเป็นที่แพร่หลายเช่นกันนอกจากนี้ในระดับนานาชาติ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จสูงในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
[แก้] ดูเพิ่ม
- รายชื่อประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกา United States of America (อังกฤษ)ธงชาติ
คำขวัญ: In God We Trust (ทางการ)
("เราเชื่อในพระเจ้า")
ละติน: E pluribus unum (ดั้งเดิม)
("จากหลากหลายรวมเป็นหนึ่ง")เพลงชาติ: The Star-Spangled Banner เมืองหลวง วอชิงตัน ดี.ซี.
38°53′N 77°02′W / 38.883°N 77.033°Wเมืองใหญ่สุด นิวยอร์ก ภาษาทางการ ไม่มีในระดับสหพันธรัฐ1
(ภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย:
อังกฤษ)2การปกครอง สหพันธรัฐประชาธิปไตยแบบตัวแทน - ประธานาธิบดี บารัก โอบามา - รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประกาศเอกราช จาก ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ - ประกาศ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 - เป็นที่ยอมรับ 3 กันยายน พ.ศ. 2326 - รัฐธรรมนูญปัจจุบัน 21 มิถุนายน พ.ศ. 2331 พื้นที่ - รวม 9,629,091 ตร.กม. [1](3/43)
3,718,711 ตร.ไมล์- แหล่งน้ำ (%) 4.87 ประชากร - 2550 (ประมาณ) 301,747,0004 (3) - 2543 (สำรวจ) 281,421,906[2] - ความหนาแน่น 31 คน/ตร.กม. (180)
80 คน/ตร.ไมล์จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2551 (ประมาณ) - รวม $ 14.441 ล้านล้าน[3] (1) - ต่อหัว $ 47,440[3] (17) จีนี (2550) 45.0[1] (44) ดพม. (2550) 0.956[4] (สูง) (13) สกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐ ($) ( USD
)เขตเวลา (UTC-5 ถึง -10) - (DST) (UTC-4 ถึง -10) โดเมนบนสุด .us .gov .edu .mil .um รหัสโทรศัพท์ 1 1 ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการในอย่างน้อย 28 รัฐ - ซึ่งแหล่งข้อมูลบางแห่งในระบุจำนวนไว้มากกว่านี้ ตามคำจำกัดความที่แตกต่างกันของคำว่า "เป็นทางการ"[5] ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฮาวายเป็นภาษาทางการของรัฐฮาวาย[6] 2 ภาษาอังกฤษเป็นภาษาซึ่งใช้ในรัฐบาลอเมริกันโดยพฤตินัย และเป็นภาษาซึ่งใช้สื่อสารในเคหะสถานเพียงภาษาเดียวกว่า 80% ของจำนวนประชากรอเมริกันอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ภาษาที่พูดเป็นจำนวนมากรองลงมา คือ ภาษาสเปน
3 พื้นที่โดยอันดับแล้วมีขัดแย้งกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ตัวเลขดังกล่าวนำมาจากหนังสือ The World Factbook โดยหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา - ในแหล่งข้อมูลบางแหล่งระบุพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาไว้น้อยกว่าจำนวนนี้ ซึ่งนับรวมเพียงแต่พื้นที่ของรัฐ 50 รัฐ และเขตโคลอมเบียเท่านั้น จึงถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 4
4 ประมาณการประชากรดังกล่าวนับผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 50 รัฐ และวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งนับรวมไปถึงผู้ไม่มีสถานภาพพลเมืองด้วย จำนวนดังกล่าวไม่นับรวมพลเมืองอเมริกันผู้อาศัยอยู่ในเขตปกครองพิเศษ (มีจำนวนราว 4 ล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเปอร์โตริโก) และพลเมืองในต่างประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น