วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข้อมูลศาสตราจารย์ ดิเรก ชัยนาม

ศาสตราจารย์ ดิเรก ชัยนาม (18 มกราคม พ.ศ. 2447 - 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2510) อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว กรุงลอนดอน และกรุงบอนน์ [1] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยได้รับการเสนอชื่อจากนายปรีดี พนมยงค์ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่ง และเคยได้รับการเสนอชื่อจากรัฐบาลไทย ต่อองค์การยูเนสโกให้ประกาศเกียรติคุณเป็นบุคคลสำคัญแห่งโลก แต่ไม่ได้รับพิจารณาเนื่องจากข้อเสนอของรัฐบาลไทยไม่เข้าข่ายที่จะได้รับการพิจารณา [1]

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ประวัติ

ดิเรก ชัยนาม เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2447 ปีมะโรง เป็นบุตรชายของพระยาอุภัยพิพากษา (เกลื่อน ชัยนาม) อดีตข้าราชการตุลาการเมืองพิษณุโลก และคุณหญิงอุภัยพิพากษา (จันทน์ ชัยนาม) สมัยที่ยังเป็นเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง จนกระทั่งทางครอบครัวได้มายกถวายให้เป็นลูกของพระพุทธชินราช พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกและประเทศไทย สุขภาพจึงกลับมาแข็งแรงเป็นที่น่าพอใจ
ดิเรกศึกษาเล่าเรียนในระดับมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2457 โดยเริ่มต้นเป็นนักเรียนประจำ และออกมาเป็นนักเรียนไปกลับใน 2 ปีสุดท้าย จากนั้นได้ย้ายมาเรียนชั้นมัธยม 8 ที่ โรงเรียนราชวิทยาลัย(ปัจจุบัน คือ โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์)และมาเข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมายจนจบการศึกษาเป็นเนติบัณฑิต ใน ปี พ.ศ. 2471
ดิเรกสมรสกับ ม.ล.ปุ๋ย (นพวงศ์) ชัยนาม ดิเรกถึงแก่กรรมเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 เมื่ออายุ 63 ปี พระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 [1] ส่วน ม.ล.ปุ๋ย ชัยนาม ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 2541 รวมอายุ 94 ปี

[แก้] ตำแหน่งในคณะรัฐบาล

  • วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481 เป็นรัฐมนตรี
  • วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2482 เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2484 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2485 กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศญี่ปุ่น
  • วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2486 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
  • วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2488 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
  • วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

[แก้] ดิเรกกับสหประชาชาติ


ศ.ดิเรก ชัยนาม
ดิเรกขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติลำดับที่ 55 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) หลังจากที่สหประชาชาติก่อตั้ง 1 ปี โดยชี้แจงเหตุผลการสมัครเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ดังนี้
  • เพื่อความมั่นคงของไทย เนื่องจากสหประชาชาติเป็นองค์การที่มีกำลังมากที่สุดที่สามารถธำรงสันติภาพ และความมั่นคง และให้ความยุติธรรมสำหรับประเทศเล็กๆ อย่างไทย
  • เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเก่าแก่ชาติหนึ่ง เนื่องจากการที่เข้าเป็นสมาชิกขององค์การเป็นการยืนยันรับรองฐานะของไทยอีก ครั้งหนึ่ง
  • ไทยหวังความช่วยเหลือจากสหประชาชาติในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
  • เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ไทยประสงค์จะร่วมมือในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงของโลกอย่างจริงจัง

[แก้] ดิเรกกับสงครามโลกครั้งที่สอง

ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 คณะเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นพร้อมด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ได้ขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีของไทย คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ เนื่องจากไปตรวจดูสถานการณ์ชายแดนอรัญประเทศ พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมารับแทน
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นแจ้งว่า ญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และได้ตัดสินใจส่งกำลังทหาร เข้าโจมตีดินแดนของทั้งสองประเทศ ใน 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เวลา 01.00 ดินแดนบางส่วนที่ญี่ปุ่นจะบุกเข้า ต้องอาศัยผ่านดินแดนของไทย ฉะนั้นญี่ปุ่นจึงใคร่จะขออนุญาตจากรัฐบาลไทย ให้ญี่ปุ่นส่งกำลังบำรุงผ่านดินแดนประเทศไทย เพื่อดำเนินการศึกต่อฝ่ายอังกฤษ โดยขอให้รัฐบาลตอบภายใน 4 ชั่วโมง
ซึ่งดิเรกกล่าวว่า "การที่จะอนุญาตหรือไม่นั้นข้าพเจ้าไม่มีอำนาจแต่อย่างใด เพราะท่านก็ทราบดีแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อำนาจสั่งไม่ให้ต่อสู้นั้นคือนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่ง ... ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ประกาศเป็นคำสั่งประจำไว้แล้วว่า ไม่ว่ากองทหารประเทศใด ถ้าเข้ามาแผ่นดินไทย ให้ต่อต้านอย่างเต็มที่ ฉะนั้นผู้ที่จะยกเลิกคำสั่งนี้คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด" แต่ขณะนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด กำลังตรวจราชการอยู่ที่ชายแดนภาคตะวันออก ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง สงครามกับมหามิตรที่กลายเป็นผู้รุกรานเพียงข้ามคืน ก็มิอาจเลี่ยงได้
ทางคณะรัฐมนตรีได้พิจารณากันถึงผลดีผลเสียหากต่อสู้กับญี่ปุ่น ในที่สุดนายกรัฐมนตรีได้ลงความเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อต้านเพราะไทยไม่ มีกำลังพอ อังกฤษและสหรัฐฯ ก็ไม่มีทางที่จะมาช่วยเหลือไทยได้ ขืนสู้ญี่ปุ่นไปประเทศไทยก็จะเสียหายอย่างหนัก คณะรัฐมนตรีจึงสั่งให้หยุดยิงเพื่อเจรจากับญี่ปุ่น ฝ่ายญี่ปุ่นได้เสนอทางเลือกให้ไทย 4 แผน ดังนี้
  • แผนที่ 1 ไทยกับญี่ปุ่นทำสัมพันธ์ไมตรีในทางรุกและป้องกันร่วมกัน
  • แผนที่ 2 ไทยเข้าเป็นภาคีกติกาสัญญาไตรภาคี ฉบับลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2483 กล่าวคือ เข้าร่วมฝ่ายอักษะกับเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
  • แผนที่ 3 ไทยให้ความร่วมมือทางทหารตามที่จำเป็นแก่ญี่ปุ่น รวมทั้งการอนุญาตให้ญี่ปุ่นผ่านอาณาเขตไทย และให้ความสะดวกทุกอย่างที่จำเป็น พร้อมทั้งป้องกันมิให้เกิดปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารญี่ปุ่น
  • แผนที่ 4 ไทยกับญี่ปุ่นรับร่วมกันป้องกันประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีความเห็นแตกแยกออกเป็นหลายฝ่าย ดิเรกเสนอว่า โดยที่ประเทศไทยได้ยืนยันจะรักษาความเป็นกลางตลอดมา หากจำเป็นต้องยอมให้แก่ฝ่ายญี่ปุ่น อย่างมากก็ควรจะยอมเพียงให้กำลังทหารญี่ปุ่นผ่าน ตามแผนที่ 3 เท่านั้น ถ้ายอม มากกว่านั้น โลกอาจจะมองไทยว่า ทั้งๆ ที่ประกาศจะเป็นกลาง ความจริงแล้วสมคบกับญี่ปุ่น ตลอดมามิใช่ ต้องยอมเพราะสู้ไม่ไหว พล.ต.อ. อดุล และ ปรีดี พนมยงค์ สนับสนุนดิเรก ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นว่า แผนที่ 3 เหมาะสมที่สุด จึงได้นำข้อตกลงไปเสนอแจ้งแก่ญี่ปุ่น และมีการลงนามในข้อตกลงที่ไทย ยินยอมให้ญี่ปุ่นส่งกำลังทหารผ่านประเทศไทย ประเทศไทยจึงประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ. 2485
ในภายหลังดิเรกได้เขียนหนังสืออธิบายถึงเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยอธิบายให้เห็นภาพเหตุการณ์ บุคคลแวดล้อม ชั้นเชิงทางการทูต กุศโลบายทางการเมือง กลวิธีทางการทหารของประเทศที่ร่วมในสงคราม ตลอดจนวิธีคลี่คลายปัญหาต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ให้รอดพ้นมหาภัยในครั้งนั้น ในหนังสือ ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2

[แก้] ดิเรกกับเสรีไทย

"ขบวนการเสรีไทย" รวมตัวกันเป็นขบวนการได้ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2487 ถึงต้นปี พ.ศ. 2488 พร้อม ๆ กับที่ฝ่ายอักษะเริ่มพ่ายแพ้ในยุโรปไล่ไปตั้งแต่การที่เยอรมนีพ่ายแพ้ต่อสหภาพโซเวียต ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2487 ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถยกพลขึ้นบกที่บริเวณชายฝั่งนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส จนสามารถปลดปล่อยกรุงปารีสจากการยึดครองของนาซีเยอรมนีได้ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2487 นาซีเยอรมนีเริ่มประสบความพ่ายแพ้ในสมรภูมิสำคัญหลายจุด ส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถเข้ามาหนุนช่วยในภาคพื้นเอเชียได้เต็มที่ แต่กระนั้นก็ตาม ญี่ปุ่นที่ยึดครองภาคพื้นเอเชียบูรพา ก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่จะยอมแพ้แต่อย่างใด ดังนั้นปฏิบัติการปลดอาวุธทหารฝรั่งเศสในอินโดจีน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2488 จึงเกิดขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นสืบทราบว่าทหารฝรั่งเศสในอินโดจีน ได้ทำงานช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตร นั่นก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนขบวนการเสรีไทยว่า การที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้มิได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่ใครบางคนคิด เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้มีการจัดตั้งกองบัญชาการเสรีไทยขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2488 โดยมีปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า และ ดิเรก ชัยนาม เป็นหัวหน้ากองกลาง

[แก้] ดิเรกกับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ศาสตราจารย์ ดิเรก ชัยนามได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคนแรกของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2492 จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2495 และได้รับปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2497 และเป็นลำดับที่ 5 ของผู้ที่ได้รับปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทางคณะได้สร้างอนุสาวรีย์รูปของท่านไว้เป็นที่ระลึกในบริเวณคณะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น