นักประวัติศาสตร์จะค้นพบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เช่น จากบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษร (การเขียนหรือการพิมพ์) เช่น จากบันทึกของเฮโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ในทวีปยุโรปเป็นคนแรกของโลก เป็นต้น หรือเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันโดยปากเปล่า รวมทั้งหลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้นพบซากสิ่งของต่าง ๆ เช่น สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่มนุษย์รู้จักลายลักษณ์อักษรในยุคหินจะเรียกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์
[แก้] การบัญญัติศัพท์
คำว่า "ประวัติศาสตร์" ในภาษาไทย เกิดจากการสมาสคำศัพท์ภาษาบาลี "ประวัติ" (ปวตฺติ) ซึ่งหมายถึง เรื่องราวความเป็นไป และคำศัพท์ภาษาสันสกฤต "ศาสตร์" (ศาสฺตฺร) ซึ่งแปลว่า ความรู้สำหรับศัพท์ "ประวัติศาสตร์" ในภาษาไทยถูกบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทียบเคียงกับคำว่า "History" และเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า "พงศาวดาร" (Chronicle) ที่ใช้กันมาแต่เดิม[1]
สำหรับคำว่า history ในภาษาอังกฤษ มีที่มาจากคำว่า historia ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่าการไต่สวนหรือค้นคว้า Nineteenninetynine
[แก้] ความหมาย
"ประวัติศาสตร์" เป็นคำที่มีความหมายหลากหลาย แต่ความหมายที่สำคัญที่ใช้โดยทั่วไปคือ 1) เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดของมนุษย์ หรืออดีตทั้งหมดของมนุษย์ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกจนถึงวินาทีที่พึ่ง ผ่านมา และ 2) หมายถึงเรื่องราวของบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตที่เรารู้หรือเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านพ้นไปนักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงให้คำอธิบายถึงคำว่า "ประวัติศาสตร์" ไว้ เช่น
อาร์. จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน ... โดยมีจุดมุ่งหมายจะศึกษาเกี่ยวกับ ... พฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต (history is a kind of research or inquiry ... action of human beings that have been done in the past.)
อี. เอช. คาร์ (E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้นก็คือกระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต[2] (What is history?, is that it is a continuous process of interaction between the present and the past.)
ส่วน ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสหรัฐอเมริกาอธิบายถึง คำว่าประวัติศาสตร์และเตือนผู้ศึกษา/อ่านประวัติศาสตร์ไว้น่าสนใจ ดังนี้ "การเข้าใจอดีตนั้นคือประวัติศาสตร์ ... เราต้องเข้าใจว่าความรู้เกี่ยวกับอดีตนั้นสร้างใหม่ได้เรื่อยๆ เพราะทัศนะมุมมองของสมัยที่เขียนประวัติศาสตร์นั้นเปลี่ยนอยู่เสมอ ..."
[แก้] วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและนำไปใช้อย่างถูกต้อง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจาก นิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอยปัญหาเชิงปรัชญาประการหนึ่งเกี่ยวกับการแสวงหาคำตอบหรือคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16-17 คือ การหาความจริงทางประวัติศาสตร์เป็นการหาความจริงแบบไหน? และสามารถพิสูจน์/เปรียบเทียบกับการหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? ทั้งนี้ เพราะเชื่อกันว่าการหาความรู้/ความจริงแบบวิทยาศาสตร์เป็นการหาความรู้/ความ จริงที่ถูกต้อง มาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำถามที่ถกเถียงกันมากก็คือ ประวัติศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ? และนักประวัติศาสตร์หลายคนพยายามเสนอ (defense) โดยทำให้ประวัติศาสตร์มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ มีการนำวิธีการ "วิพากษ์" หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาใช้ นักประวัติศาสตร์ในยุคนั้นพยายามทำให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเห็นว่าความเป็น "วัตถุวิสัย" ของประวัติศาสตร์ลดลง เช่นเดียวกันกับที่ยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความรู้ที่สมบูรณ์[3]
การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก 5 คำถาม คือ "เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต" (What), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่" (When), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน" (Where), "ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น" (Why), และ "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" (How) วิธิการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่
- การรวบรวมหลักฐาน
- การคัดเลือกหลักฐาน
- การวิเคราะห์ ตีความ ประเมินหลักฐาน
- การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหลักฐาน
- การนำเสนอข้อเท็จจริง[4]
- วิธีการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างจากการศึกษาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
- นักประวัติศาสตร์ต้องระมัดระวังในการยืนยันความถูกต้องของหลักฐาน
- การนำเสนอในลักษณะ "ตัด-แปะประวัติศาสตร์" ไม่ถูกต้องและเป็นวิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ควรนำเสนอโดยการประมวลความคิดให้เป็นข้อสรุป
- วิธีการทางประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นแบบวิทยาศาสตร์คือการตั้งคำถาม
สำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์นั้นจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ประกอบด้วย
- มีความเป็นกลาง (Objectiveness or Objectivity)
- มีความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ (Historical thinking)
- มีความถูกต้องแม่นยำ (Accurary)
- มีความเป็นระเบียบในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Love of order)
- มีลำดับการทำงานที่เป็นตรรกะ (Logic)
- มีความซื่อสัตย์ในการแสวงหาข้อเท็จจริง (Honesty)
- มีความระมัดระวังในการใช้หลักฐาน (Self-awareness)
- มีจินตนาการ (Historical imagination) [6]
[แก้] การจำแนกประเภทของการศึกษาประวัติศาสตร์
หากศึกษาพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ในดินแดนต่าง ๆ พบว่าการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของมนุษย์และสังคมของตนเริ่มจากสิ่งที่ อยู่ใกล้ตัวและค่อย ๆ ขยายไปสู่สังคมที่ไกลตัวออกไป ในอดีต การให้ความหมายต่อประวัติศาสตร์และประเด็นในการศึกษาประวัติศาสตร์คับแคบก ว่าในปัจจุบัน ธูซิดิดิส (Thucydides ประมาณ 460-395 ปีก่อน ค.ศ.) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกฟันธงอย่างกล้าหาญว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของการ เมืองและเรื่องของรัฐเท่านั้น ไช่เรื่องอื่นใดเลย[7]โดยทั่วไปสามารถแบ่งขอบเขตการศึกษาประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การศึกษาเฉพาะพื้นที่และการศึกษาเฉพาะหัวข้อ
[แก้] การศึกษาประวัติศาสตร์เฉพาะพื้นที่
คือการใช้พื้นที่ทางภูมิศาสตร์กำหนดขอบเขตของการศึกษา โดยเน้นศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในกรอบพื้นที่ จำแนกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ- ประวัติศาสตร์โลก (World History)
- ประวัติศาสตร์ชาติ (National History)
- ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (Local History)
[แก้] การศึกษาเฉพาะหัวข้อ
คือการศึกษาประวัติศาสตร์เฉพาะด้านในดินแดนต่าง ๆ เดิมแบ่งการศึกษาออกเป็นหัวข้อใหญ่ ดังนี้- ประวัติศาสตร์การเมือง
- ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ
- ประวัติศาสตร์สังคม[8]
- ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม
- ประวัติศาสตร์พรรคการเมือง
- ประวัติศาสตร์การทหาร
- ประวัติศาสตร์การทูต
- ประวัติศาสตร์พัฒนาการของกลุ่มชาติพันธุ์
- ประวัติศาสตร์สตรี[9]
- ประวัติศาสตร์ครอบครัว[10]
- ประวัติศาสตร์เพศวิถี (Sexuality), เพศสภาวะ (Gender)
- ประวัติศาสตร์สงคราม
- ประวัติศาสตร์ลัทธิทุนนิยม
- ประวัติศาสตร์ศิลปะ
- ประวัติศาสตร์การละคร
- ประวัติศาสตร์นิพนธ์
- ประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อม[11]
- ประวัติศาสตร์อนาคต
- จุลประวัติศาสตร์ (Microhistory) [12] ฯลฯ
[แก้] สกุลความคิดทางประวัติศาสตร์
- โรแมนติซิสม์ (Romanticism) [13]
- โพสต์โมเดิร์น หรือหลังสมัยใหม่ (Post Modern)
[แก้] การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์โลก
ความนิยมในการแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์โลกมักแบ่งเป็น 3 สมัย ได้แก่[แก้] นักประวัติศาสตร์คนสำคัญ
[แก้] นักประวัติศาสตร์ตะวันตก
- เฮโรโดตัส (Herodotos; Herodotus 484-425 ปีก่อน ค.ศ.)
- ฟรานเชสโก เพทราค (Francesco Petrach ค.ศ. 1304-1374)
- ลอเรนโซ วัลลา (Lorenzo Valla ค.ศ. 1406-1457)
- ลีโอโปลด์ ฟาน รังเก (Leopold van Ranke ค.ศ. 1795-1886)
- คาร์ล มาร์ก (karl Marx ค.ศ. 1818-1883)
- ฟรีดริช นิตเช (Friedrich Nietzsche ค.ศ. 1844-1900)
- อาร์. จี. คอลลิงวูด (R.G. Collingwood ค.ศ. 1889-1943)
- อี. เอช. คาร์ (E.H. Carr ค.ศ. 1892-1982)
- มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault ค.ศ. 1926-1984)
- ปีเตอร์ เบิร์ก (Peter Burke ค.ศ. 1937-ปัจจุบัน)
- จอห์น เอช. อาร์โนลด์ (John H. Arnold)
[แก้] นักประวัติศาสตร์จีน
- ซือหม่าเชียน (Si Ma Qian ประมาณ 135-86 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
- ปัน กู่ (Ban Gu ค.ศ. 32-92)
- คังหยู่เหวย (kang Youwei ค.ศ. 1858-1927)
- จอห์น เค. แฟร์แบงค์ (John K. Fairbank ค.ศ. 1907-1991)
- เกล เฮอแชทเทอร์ (Gail Hershatter)
[แก้] นักประวัติศาสตร์อินเดีย
- เซียอุดดิน บาร์นี (Ziauddin Barni ค.ศ. 1285-1357)
- วินเซนต์ สมิท (Vincent Smith ค.ศ. 1843-1920)
- เยาว์หราล เนห์รู (Jawaharial Nehru ค.ศ. 1889-1964)
- พิพาน จันทรา (Bipan Chandra ค.ศ. 1928-ปัจจุบัน)
- โรมิลา ธาปาร์ (Romila Thapar ค.ศ. 1931-ปัจจุบัน) [14]
[แก้] นักประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ดี.จี.อี.ฮอลล์ (D.G.E. Hall ค.ศ. 1891-1979)
- เบเนดิก แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson ค.ศ. 1936-ปัจจุบัน)
- เดวิด เค. วัยอาจ (David K. Wyatt ค.ศ. 1937-2006)
- มิลตัน ออสบอร์น (Milton Osborne)
- เครก เจ. เรย์โนลดส์ (Craig J. Reynolds)
- บาร์บารา วัดสัน อันดายา (Barbara Watson Andaya)
- แอนโทนี รีด (Anthony Reid)
[แก้] นักประวัติศาสตร์ไทย
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2347-2411)
- เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) (พ.ศ. 2356-2413)
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พ.ศ. 2405-2486)
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2423-2468)
- ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์ พ.ศ. 2440-2523)
- หลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ พ.ศ. 2441-2505)
- รองอำมาตย์ตรีชัย เรืองศิลป์ (พ.ศ. 2447-2518)
- ขจร สุขพานิช (พ.ศ. 2456-2521) [1]
- ประเสริฐ ณ นคร (พ.ศ. 2461-ปัจจุบัน)
- จิตร ภูมิศักดิ์ (พ.ศ. 2473-2509)
- ศรีศักร วัลลิโภดม (พ.ศ. 2481-ปัจจุบัน) [2]
- นิธิ เอียวศรีวงศ์ (พ.ศ. 2483-ปัจจุบัน)
- ไมเคิล ไรท์ (พ.ศ. 2483-2552)
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (พ.ศ. 2484-ปัจจุบัน)
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (พ.ศ. 2501-ปัจจุบัน)
- ธงชัย วินิจจะกูล
[แก้] การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใน พ.ศ. 2459 มีการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นวิชาความรู้พื้นฐานสำหรับ นิสิตในคณะต่าง ๆ (นโยบายนี้ยังปรากฏในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) ซึ่งเปิดสอนใน พ.ศ. 2477 ด้วย) ต่อมา ในปลายปี พ.ศ. 2466 เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย ทรงดำเนินการปรับปรุงคณะแพทยศาสตร์และคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงจัดหลักสูตรสำหรับวิชาประวัติศาสตร์ด้วยพระองค์เอง โดยทูลเชิญและเชิญผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางมาปาฐกถา เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบรรยายประวัติศาสตร์ไทย และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติทรงบรรยายอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียต่อวัฒนธรรมไทย เป็นต้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยจึงเปิดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดยก่อน พ.ศ. 2516 มีสถาบันอุดมศึกษาเพียง 2 แห่งที่เปิดสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับปริญญาโท คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในปัจจุบัน)
ปัจจุบันสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐที่ทำการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
- หมวดวิชาประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- วิชาโทประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- ภาควิชาประวัติศาสตร์และศิลปะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
อนึ่ง นอกจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่จัดให้มีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกแล้ว หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงในงานด้านประวัติศาสตร์ของชาติคือสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และยังมีหน่วยงานเอกชนที่สนับสนุนการศึกษาด้านนี้ด้วย แต่การดำเนินงานไม่เป็นที่กว้างขวางและแพร่หลายนักในสังคม เช่น
- มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์[15]
- มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์[16]
- ศิลปวัฒนธรรมในเครือมติชน
[แก้] บทความและหนังสืออ่านเพิ่มเติม
- คาร์, อี. เอช. (2525). ประวัติศาสตร์คืออะไร. แปลโดย ชาติชาย พณานานนท์. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
- แดเนียลส์, โรเบอร์ต วี. (2520). ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างไร และทำไม. แปลโดย ธิดา สาระยา. กรุงเทพฯ: ดวงกมล.
- ธเนศ วงศ์ยานนาวา. (2546). ประวัติศาสตร์และสหวิทยาการ : ชาตินี้เราคงรักกันไม่ได้. รัฐศาสตร์สาร. 24 (2) : 297-334.
- ธาวิต สุขพานิช. (2525, กันยายน). ทะลวงกรอบทลายกรง: การพิจารณาเชิงประวัติศาสตร์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอนาคต เวลา ศาสนา และความก้าวหน้าของไทย. ธรรมศาสตร์. 11 (3) : 109-133.
- ธีระ นุชเปี่ยม. (2552). ประวัติศาสตร์รับใช้ใคร. ใน ประวัติศาสตร์ในมิติวัฒนธรรมศึกษา ยกเครื่องวัฒนธรรมศึกษา. บรรณาธิการโดย สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์. หน้า 10-78. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน). (เอกสารวิชาการลำดับที่ 82)
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2523). ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ. (เอกสารวิชาการหมายเลข 14 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2525). ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์; และ อาคม พัฒิยะ. (2525). หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย (ส021). กรุงเทพฯ: บรรณกิจ.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2545). ว่าด้วยการเมืองของประวัติศาสตร์และความทรงจำ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มติชน.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2551). ประวัติศาสตร์แห่งชาติ "ซ่อม"ฉบับเก่า "สร้าง"ฉบับใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กองทุนเผยแพร่ความรู้สู่สาธาธารณะ.
- เบนดา, แฮรี่ เจ. (2520, พฤษภาคม-สิงหาคม). โครงสร้างประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์. แปลโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์. จุลสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 1 (1) : 11-38.
- พวงร้อย กล่อมเอี้ยง. (2546). จะเขียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างไร. ศึกษาศาสตร์ องครักษ์. 2: 94-102.
- พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1. (2542). พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
- วงเดือน นาราสัจจ์. (2550). ประวัติศาสตร์ : วิธีการและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- ยงยุทธ ชูแว่น. (2545, มิถุนายน-พฤศจิกายน). ความสำคัญและขอบเขตของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในปัจจุบัน. อักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 25 (1) : 102-114.
- เรย์โนลด์ส, เครก เจ. (2550). โครงเรื่องของประวัติศาสตร์ไทย : ทฤษฎีและการปฏิบัติ. แปลโดย รัชนีพร จันทรอารี. ใน เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา ปัญญาชน และ คนสามัญ รวมบทความประวัติศาสตร์ของเครก เจ. เรย์โนลด์ส. บรรณาธิการโดย วารุณี โอสถารมย์. หน้า 199-229. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
- วุฒิชัย มูลศิลป์. (2545). เมื่อประวัติศาสตร์เป็นเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างชาติในเอเชีย. ใน วารสารประวัติศาสตร์. หน้า 2-19. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- สมเกียรติ วันทะนะ. (2531, พฤษภาคม-กรกฎาคม). "สังคมไทย" ในมโนภาพของสี่นักคิดทันสมัย. จดหมายข่าวสังคมศาสตร์. 10 (4) : 91-113.
- สมเกียรติ วันทะนะ. (2527, กันยายน). สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย. ธรรมศาสตร์. 13 (3) : 152-171.
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. (2544). ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง : รวมบทความเกี่ยวกับ 14 ตุลา และ 6 ตุลา. กรุงเทพฯ: 6 ตุลารำลึก.
- สรรนิพนธ์มนุษยศึกษาและสังคมศาสตร์ในประเทศฝรั่งเศส ศตวรรษที่ 20. (2545). เชียงใหม่: มิ่งเมืองการพิมพ์.
- สาคร ช่วยประสิทธิ์. (2522). ความสำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 15. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
- สุเนตร ชุตินธรานนท์. (2552). ชาตินิยมในแบบเรียนไทย. กรุงเทพฯ: มติชน.
- อาร์โนลด์, จอห์น เอช. (2549). ประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์. แปลโดย ไชยันต์ รัชชกูล. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
- โอคาชา, ซาเมียร์. (2549). ปรัชญาวิทยาศาสตร์โดยสังเขป. แปลโดย จุไรรัตน์ จันทร์ธำรง. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
- Burke Peter. (1991). Overture. The New History: Its Past and its Future. In New Perspectives on Historical Writing. pp. 1-24. Cambridge: Polity Press.
- Collingwood, R. G. (1982). The Idea of History. 21st ed. London: Oxford University Press.
- Tosh, John. (2002). The Pursuit of History. 3rd. London: Longman.
นักประวัติศาสตร์จะค้นพบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เช่น จากบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษร (การเขียนหรือการพิมพ์) เช่น จากบันทึกของเฮโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ในทวีปยุโรปเป็นคนแรกของโลก เป็นต้น หรือเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันโดยปากเปล่า รวมทั้งหลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้นพบซากสิ่งของต่าง ๆ เช่น สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่มนุษย์รู้จักลายลักษณ์อักษรในยุคหินจะเรียกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์
[แก้] การบัญญัติศัพท์
คำว่า "ประวัติศาสตร์" ในภาษาไทย เกิดจากการสมาสคำศัพท์ภาษาบาลี "ประวัติ" (ปวตฺติ) ซึ่งหมายถึง เรื่องราวความเป็นไป และคำศัพท์ภาษาสันสกฤต "ศาสตร์" (ศาสฺตฺร) ซึ่งแปลว่า ความรู้สำหรับศัพท์ "ประวัติศาสตร์" ในภาษาไทยถูกบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทียบเคียงกับคำว่า "History" และเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า "พงศาวดาร" (Chronicle) ที่ใช้กันมาแต่เดิม[1]
สำหรับคำว่า history ในภาษาอังกฤษ มีที่มาจากคำว่า historia ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่าการไต่สวนหรือค้นคว้า Nineteenninetynine
[แก้] ความหมาย
"ประวัติศาสตร์" เป็นคำที่มีความหมายหลากหลาย แต่ความหมายที่สำคัญที่ใช้โดยทั่วไปคือ 1) เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดของมนุษย์ หรืออดีตทั้งหมดของมนุษย์ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกจนถึงวินาทีที่พึ่ง ผ่านมา และ 2) หมายถึงเรื่องราวของบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตที่เรารู้หรือเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านพ้นไปนักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงให้คำอธิบายถึงคำว่า "ประวัติศาสตร์" ไว้ เช่น
อาร์. จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน ... โดยมีจุดมุ่งหมายจะศึกษาเกี่ยวกับ ... พฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต (history is a kind of research or inquiry ... action of human beings that have been done in the past.)
อี. เอช. คาร์ (E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้นก็คือกระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต[2] (What is history?, is that it is a continuous process of interaction between the present and the past.)
ส่วน ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสหรัฐอเมริกาอธิบายถึง คำว่าประวัติศาสตร์และเตือนผู้ศึกษา/อ่านประวัติศาสตร์ไว้น่าสนใจ ดังนี้ "การเข้าใจอดีตนั้นคือประวัติศาสตร์ ... เราต้องเข้าใจว่าความรู้เกี่ยวกับอดีตนั้นสร้างใหม่ได้เรื่อยๆ เพราะทัศนะมุมมองของสมัยที่เขียนประวัติศาสตร์นั้นเปลี่ยนอยู่เสมอ ..."
[แก้] วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและนำไปใช้อย่างถูกต้อง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจาก นิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอยปัญหาเชิงปรัชญาประการหนึ่งเกี่ยวกับการแสวงหาคำตอบหรือคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16-17 คือ การหาความจริงทางประวัติศาสตร์เป็นการหาความจริงแบบไหน? และสามารถพิสูจน์/เปรียบเทียบกับการหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? ทั้งนี้ เพราะเชื่อกันว่าการหาความรู้/ความจริงแบบวิทยาศาสตร์เป็นการหาความรู้/ความ จริงที่ถูกต้อง มาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำถามที่ถกเถียงกันมากก็คือ ประวัติศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ? และนักประวัติศาสตร์หลายคนพยายามเสนอ (defense) โดยทำให้ประวัติศาสตร์มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ มีการนำวิธีการ "วิพากษ์" หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาใช้ นักประวัติศาสตร์ในยุคนั้นพยายามทำให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเห็นว่าความเป็น "วัตถุวิสัย" ของประวัติศาสตร์ลดลง เช่นเดียวกันกับที่ยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความรู้ที่สมบูรณ์[3]
การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก 5 คำถาม คือ "เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต" (What), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่" (When), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน" (Where), "ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น" (Why), และ "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" (How) วิธิการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่
- การรวบรวมหลักฐาน
- การคัดเลือกหลักฐาน
- การวิเคราะห์ ตีความ ประเมินหลักฐาน
- การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหลักฐาน
- การนำเสนอข้อเท็จจริง[4]
- วิธีการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างจากการศึกษาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
- นักประวัติศาสตร์ต้องระมัดระวังในการยืนยันความถูกต้องของหลักฐาน
- การนำเสนอในลักษณะ "ตัด-แปะประวัติศาสตร์" ไม่ถูกต้องและเป็นวิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ควรนำเสนอโดยการประมวลความคิดให้เป็นข้อสรุป
- วิธีการทางประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นแบบวิทยาศาสตร์คือการตั้งคำถาม
สำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์นั้นจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ประกอบด้วย
- มีความเป็นกลาง (Objectiveness or Objectivity)
- มีความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ (Historical thinking)
- มีความถูกต้องแม่นยำ (Accurary)
- มีความเป็นระเบียบในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Love of order)
- มีลำดับการทำงานที่เป็นตรรกะ (Logic)
- มีความซื่อสัตย์ในการแสวงหาข้อเท็จจริง (Honesty)
- มีความระมัดระวังในการใช้หลักฐาน (Self-awareness)
- มีจินตนาการ (Historical imagination) [6]
[แก้] การจำแนกประเภทของการศึกษาประวัติศาสตร์
หากศึกษาพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ในดินแดนต่าง ๆ พบว่าการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของมนุษย์และสังคมของตนเริ่มจากสิ่งที่ อยู่ใกล้ตัวและค่อย ๆ ขยายไปสู่สังคมที่ไกลตัวออกไป ในอดีต การให้ความหมายต่อประวัติศาสตร์และประเด็นในการศึกษาประวัติศาสตร์คับแคบก ว่าในปัจจุบัน ธูซิดิดิส (Thucydides ประมาณ 460-395 ปีก่อน ค.ศ.) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกฟันธงอย่างกล้าหาญว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของการ เมืองและเรื่องของรัฐเท่านั้น ไช่เรื่องอื่นใดเลย[7]โดยทั่วไปสามารถแบ่งขอบเขตการศึกษาประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การศึกษาเฉพาะพื้นที่และการศึกษาเฉพาะหัวข้อ
[แก้] การศึกษาประวัติศาสตร์เฉพาะพื้นที่
คือการใช้พื้นที่ทางภูมิศาสตร์กำหนดขอบเขตของการศึกษา โดยเน้นศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในกรอบพื้นที่ จำแนกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ- ประวัติศาสตร์โลก (World History)
- ประวัติศาสตร์ชาติ (National History)
- ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (Local History)
[แก้] การศึกษาเฉพาะหัวข้อ
คือการศึกษาประวัติศาสตร์เฉพาะด้านในดินแดนต่าง ๆ เดิมแบ่งการศึกษาออกเป็นหัวข้อใหญ่ ดังนี้- ประวัติศาสตร์การเมือง
- ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ
- ประวัติศาสตร์สังคม[8]
- ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม
- ประวัติศาสตร์พรรคการเมือง
- ประวัติศาสตร์การทหาร
- ประวัติศาสตร์การทูต
- ประวัติศาสตร์พัฒนาการของกลุ่มชาติพันธุ์
- ประวัติศาสตร์สตรี[9]
- ประวัติศาสตร์ครอบครัว[10]
- ประวัติศาสตร์เพศวิถี (Sexuality), เพศสภาวะ (Gender)
- ประวัติศาสตร์สงคราม
- ประวัติศาสตร์ลัทธิทุนนิยม
- ประวัติศาสตร์ศิลปะ
- ประวัติศาสตร์การละคร
- ประวัติศาสตร์นิพนธ์
- ประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อม[11]
- ประวัติศาสตร์อนาคต
- จุลประวัติศาสตร์ (Microhistory) [12] ฯลฯ
[แก้] สกุลความคิดทางประวัติศาสตร์
- โรแมนติซิสม์ (Romanticism) [13]
- โพสต์โมเดิร์น หรือหลังสมัยใหม่ (Post Modern)
[แก้] การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์โลก
ความนิยมในการแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์โลกมักแบ่งเป็น 3 สมัย ได้แก่[แก้] นักประวัติศาสตร์คนสำคัญ
[แก้] นักประวัติศาสตร์ตะวันตก
- เฮโรโดตัส (Herodotos; Herodotus 484-425 ปีก่อน ค.ศ.)
- ฟรานเชสโก เพทราค (Francesco Petrach ค.ศ. 1304-1374)
- ลอเรนโซ วัลลา (Lorenzo Valla ค.ศ. 1406-1457)
- ลีโอโปลด์ ฟาน รังเก (Leopold van Ranke ค.ศ. 1795-1886)
- คาร์ล มาร์ก (karl Marx ค.ศ. 1818-1883)
- ฟรีดริช นิตเช (Friedrich Nietzsche ค.ศ. 1844-1900)
- อาร์. จี. คอลลิงวูด (R.G. Collingwood ค.ศ. 1889-1943)
- อี. เอช. คาร์ (E.H. Carr ค.ศ. 1892-1982)
- มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault ค.ศ. 1926-1984)
- ปีเตอร์ เบิร์ก (Peter Burke ค.ศ. 1937-ปัจจุบัน)
- จอห์น เอช. อาร์โนลด์ (John H. Arnold)
[แก้] นักประวัติศาสตร์จีน
- ซือหม่าเชียน (Si Ma Qian ประมาณ 135-86 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
- ปัน กู่ (Ban Gu ค.ศ. 32-92)
- คังหยู่เหวย (kang Youwei ค.ศ. 1858-1927)
- จอห์น เค. แฟร์แบงค์ (John K. Fairbank ค.ศ. 1907-1991)
- เกล เฮอแชทเทอร์ (Gail Hershatter)
[แก้] นักประวัติศาสตร์อินเดีย
- เซียอุดดิน บาร์นี (Ziauddin Barni ค.ศ. 1285-1357)
- วินเซนต์ สมิท (Vincent Smith ค.ศ. 1843-1920)
- เยาว์หราล เนห์รู (Jawaharial Nehru ค.ศ. 1889-1964)
- พิพาน จันทรา (Bipan Chandra ค.ศ. 1928-ปัจจุบัน)
- โรมิลา ธาปาร์ (Romila Thapar ค.ศ. 1931-ปัจจุบัน) [14]
[แก้] นักประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ดี.จี.อี.ฮอลล์ (D.G.E. Hall ค.ศ. 1891-1979)
- เบเนดิก แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson ค.ศ. 1936-ปัจจุบัน)
- เดวิด เค. วัยอาจ (David K. Wyatt ค.ศ. 1937-2006)
- มิลตัน ออสบอร์น (Milton Osborne)
- เครก เจ. เรย์โนลดส์ (Craig J. Reynolds)
- บาร์บารา วัดสัน อันดายา (Barbara Watson Andaya)
- แอนโทนี รีด (Anthony Reid)
[แก้] นักประวัติศาสตร์ไทย
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2347-2411)
- เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) (พ.ศ. 2356-2413)
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พ.ศ. 2405-2486)
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2423-2468)
- ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์ พ.ศ. 2440-2523)
- หลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ พ.ศ. 2441-2505)
- รองอำมาตย์ตรีชัย เรืองศิลป์ (พ.ศ. 2447-2518)
- ขจร สุขพานิช (พ.ศ. 2456-2521) [1]
- ประเสริฐ ณ นคร (พ.ศ. 2461-ปัจจุบัน)
- จิตร ภูมิศักดิ์ (พ.ศ. 2473-2509)
- ศรีศักร วัลลิโภดม (พ.ศ. 2481-ปัจจุบัน) [2]
- นิธิ เอียวศรีวงศ์ (พ.ศ. 2483-ปัจจุบัน)
- ไมเคิล ไรท์ (พ.ศ. 2483-2552)
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (พ.ศ. 2484-ปัจจุบัน)
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (พ.ศ. 2501-ปัจจุบัน)
- ธงชัย วินิจจะกูล
[แก้] การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใน พ.ศ. 2459 มีการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นวิชาความรู้พื้นฐานสำหรับ นิสิตในคณะต่าง ๆ (นโยบายนี้ยังปรากฏในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) ซึ่งเปิดสอนใน พ.ศ. 2477 ด้วย) ต่อมา ในปลายปี พ.ศ. 2466 เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย ทรงดำเนินการปรับปรุงคณะแพทยศาสตร์และคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงจัดหลักสูตรสำหรับวิชาประวัติศาสตร์ด้วยพระองค์เอง โดยทูลเชิญและเชิญผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางมาปาฐกถา เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบรรยายประวัติศาสตร์ไทย และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติทรงบรรยายอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียต่อวัฒนธรรมไทย เป็นต้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยจึงเปิดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดยก่อน พ.ศ. 2516 มีสถาบันอุดมศึกษาเพียง 2 แห่งที่เปิดสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับปริญญาโท คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในปัจจุบัน)
ปัจจุบันสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐที่ทำการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
- หมวดวิชาประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- วิชาโทประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- ภาควิชาประวัติศาสตร์และศิลปะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
อนึ่ง นอกจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่จัดให้มีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกแล้ว หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงในงานด้านประวัติศาสตร์ของชาติคือสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และยังมีหน่วยงานเอกชนที่สนับสนุนการศึกษาด้านนี้ด้วย แต่การดำเนินงานไม่เป็นที่กว้างขวางและแพร่หลายนักในสังคม เช่น
- มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์[15]
- มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์[16]
- ศิลปวัฒนธรรมในเครือมติชน
[แก้] บทความและหนังสืออ่านเพิ่มเติม
- คาร์, อี. เอช. (2525). ประวัติศาสตร์คืออะไร. แปลโดย ชาติชาย พณานานนท์. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
- แดเนียลส์, โรเบอร์ต วี. (2520). ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างไร และทำไม. แปลโดย ธิดา สาระยา. กรุงเทพฯ: ดวงกมล.
- ธเนศ วงศ์ยานนาวา. (2546). ประวัติศาสตร์และสหวิทยาการ : ชาตินี้เราคงรักกันไม่ได้. รัฐศาสตร์สาร. 24 (2) : 297-334.
- ธาวิต สุขพานิช. (2525, กันยายน). ทะลวงกรอบทลายกรง: การพิจารณาเชิงประวัติศาสตร์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอนาคต เวลา ศาสนา และความก้าวหน้าของไทย. ธรรมศาสตร์. 11 (3) : 109-133.
- ธีระ นุชเปี่ยม. (2552). ประวัติศาสตร์รับใช้ใคร. ใน ประวัติศาสตร์ในมิติวัฒนธรรมศึกษา ยกเครื่องวัฒนธรรมศึกษา. บรรณาธิการโดย สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์. หน้า 10-78. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน). (เอกสารวิชาการลำดับที่ 82)
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2523). ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ. (เอกสารวิชาการหมายเลข 14 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2525). ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์; และ อาคม พัฒิยะ. (2525). หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย (ส021). กรุงเทพฯ: บรรณกิจ.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2545). ว่าด้วยการเมืองของประวัติศาสตร์และความทรงจำ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มติชน.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2551). ประวัติศาสตร์แห่งชาติ "ซ่อม"ฉบับเก่า "สร้าง"ฉบับใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กองทุนเผยแพร่ความรู้สู่สาธาธารณะ.
- เบนดา, แฮรี่ เจ. (2520, พฤษภาคม-สิงหาคม). โครงสร้างประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์. แปลโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์. จุลสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 1 (1) : 11-38.
- พวงร้อย กล่อมเอี้ยง. (2546). จะเขียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างไร. ศึกษาศาสตร์ องครักษ์. 2: 94-102.
- พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1. (2542). พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
- วงเดือน นาราสัจจ์. (2550). ประวัติศาสตร์ : วิธีการและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- ยงยุทธ ชูแว่น. (2545, มิถุนายน-พฤศจิกายน). ความสำคัญและขอบเขตของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในปัจจุบัน. อักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 25 (1) : 102-114.
- เรย์โนลด์ส, เครก เจ. (2550). โครงเรื่องของประวัติศาสตร์ไทย : ทฤษฎีและการปฏิบัติ. แปลโดย รัชนีพร จันทรอารี. ใน เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา ปัญญาชน และ คนสามัญ รวมบทความประวัติศาสตร์ของเครก เจ. เรย์โนลด์ส. บรรณาธิการโดย วารุณี โอสถารมย์. หน้า 199-229. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
- วุฒิชัย มูลศิลป์. (2545). เมื่อประวัติศาสตร์เป็นเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างชาติในเอเชีย. ใน วารสารประวัติศาสตร์. หน้า 2-19. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- สมเกียรติ วันทะนะ. (2531, พฤษภาคม-กรกฎาคม). "สังคมไทย" ในมโนภาพของสี่นักคิดทันสมัย. จดหมายข่าวสังคมศาสตร์. 10 (4) : 91-113.
- สมเกียรติ วันทะนะ. (2527, กันยายน). สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย. ธรรมศาสตร์. 13 (3) : 152-171.
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. (2544). ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง : รวมบทความเกี่ยวกับ 14 ตุลา และ 6 ตุลา. กรุงเทพฯ: 6 ตุลารำลึก.
- สรรนิพนธ์มนุษยศึกษาและสังคมศาสตร์ในประเทศฝรั่งเศส ศตวรรษที่ 20. (2545). เชียงใหม่: มิ่งเมืองการพิมพ์.
- สาคร ช่วยประสิทธิ์. (2522). ความสำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 15. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
- สุเนตร ชุตินธรานนท์. (2552). ชาตินิยมในแบบเรียนไทย. กรุงเทพฯ: มติชน.
- อาร์โนลด์, จอห์น เอช. (2549). ประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์. แปลโดย ไชยันต์ รัชชกูล. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
- โอคาชา, ซาเมียร์. (2549). ปรัชญาวิทยาศาสตร์โดยสังเขป. แปลโดย จุไรรัตน์ จันทร์ธำรง. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
- Burke Peter. (1991). Overture. The New History: Its Past and its Future. In New Perspectives on Historical Writing. pp. 1-24. Cambridge: Polity Press.
- Collingwood, R. G. (1982). The Idea of History. 21st ed. London: Oxford University Press.
- Tosh, John. (2002). The Pursuit of History. 3rd. London: Longman.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น